Last updated: 4 ส.ค. 2559 | 4200 จำนวนผู้เข้าชม |
สักครั้งในชีวิต กับ 9 สถานที่สุดมหัศจรรย์
บนโลกของเรานั้น มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง ยุโรป แอฟริกาใต้ ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งสวยดุจเทพนิยาย และแปลกประหลาดมากๆจนเราคิดว่าไม่น่ามีอยู่ในโลกของเราได้ แต่วันนี้ขอรวบรวม 9 สถานที่สุดมหัศจรรย์จากทั่วโลกมาได้อ่านค่ะ มาดูไปพร้อมๆกันดีกว่า ว่าจะมีที่ไหนบ้างนะ ..
1.Grand Prismatic Spring: บ่อน้ำร้อนยักษ์
บ่อน้ำพุร้อน ถือว่าเป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา และยังใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลกอีกด้วย ความโดดเด่นของบ่อน้ำพุร้อนแกรนด์พรีสเมติกนั้น คือสีสันของบ่อน้ำพุร้อนนี้ตรงกึ่งกลางเป็นสีฟ้าไล่ขึ้นมาเป็นสีแดงและสีส้มไล่มาที่บริเวณขอบบ่อ อันเกิดจากสาหร่าย และแบคทีเรีย ที่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างหนาแน่นที่บริเวณขอบบ่อน้ำพุร้อน เนื่องจากอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และอุณหภูมิที่เหมาะสม จะทำให้เกิดการแบ่งเป็นเฉดสีที่สวยงามมากๆ
2. Socotra Island: เกาะโซโคตร้า (เกาะต่างดาว)
เกาะโซโคตร้า เป็นเกาะเล็กๆในมหาสมุทรอินเดีย เป็นเกาะที่มีความสวยงามของประเทศเยเมน อยู่ห่างจากประเทศโซมาเลีย 250 กิโลเมตร เกาะโซโคตร้า เป็นสถานที่รวมแห่งพืชพรรณแปลกประหลาดหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้รูปทรงแปลกๆ อย่างต้น "กุหลาบแห่งทะเลทราย และต้นเลือดมังกร ที่ยังมีชีวิตอยู่รอดได้ กับสายพันธ์ที่อายุกว่า 20 ล้านปี ซึ่งยังถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี และเกาะโซโคตร้าแห่งนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกแล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008
3. Rio Tinto River : แม่น้ำสีเลือดที่สเปน
แม่น้ำสีแดงนี้ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสเปน มีต้นน้ำไหลมาจากภูเขาเซียร์ร่า โมรีน่า โดยสำหรับสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของมันนั้นเกิดขึ้นจากแร่โลหะชนิดต่างๆ ที่อยู่รอบแม่น้ำสายนี้ ไม่ว่าจะเป็นแร่ทองแดง แร่เหล็ก แร่โลหะ และแร่อื่นๆ ซึ่งทำให้น้ำในแม่น้ำมีความเป็นกรดสูงมากจนเปลี่ยนเป็นสีแดง และเป็นสถานที่สุดแปลกพิลึก ที่ได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวภายในประเทศสเปนในที่สุด มีโอกาสต้องลองไปนะคะ
4. Salar de Uyuni Bolivia : ทะเลเกลือแสนอัศจรรย์
ซาลาร์ เดอ ยูยูนิ เป็นทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่ถึง 10,582 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโบลิเวีย ใกล้ยอดของเทือกเขาแอนดีส ซึ่งชั้นเกลือของสถานที่แห่งนี้เป็นคราบเกลือที่หลงเหลือมาจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีความหนาเป็นเมตร ทำให้ชั้นเกลือเหล่านี้สามารถรองรับน้ำหนักของรถที่แล่นผ่านทะเลเกลือแห่งนี้ได้โดยไม่แตก
นอกจากทัศนียภาพที่แปลกตาจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้ว มันยังใช้ประโยชน์มากมาย หนึ่งในนั้นคือมันเหมาะมากในการถูกนำไปใช้ประโยชน์ ในการตรวจสอบ และปรับแก้การวัดค่าความสูงของดาวเทียม เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้กว้างใหญ่ พื้นผิวราบเรียบเป็นพิเศษ
5. Chocolate Hills : ภูเขาแช๊คโกแล๊ต
ภูเขาช็อกโกแลต แห่งเกาะโบโฮล ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพี่ไทยเราเลย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งภูเขานับ 1,268 ลูกที่เรียงรายอยู่นั้นมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวยคว่ำเหมือนกัน ทั้งยังมีขนาดที่ใกล้เคียงกันในช่วงความสูงตั้งแต่ 30-50 เมตร อย่างไรก็ดีสำหรับชื่อภูเขาช็อกโกแลตของสถานที่แห่งนี้ มีที่มาจากสภาพของต้นหญ้าสีเขียวที่ขึ้นคลุมภูเขาแต่ละลูกจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในฤดูแล้ง
6. Vale da Lua Brazil : หุบเขาโลกพระจันทร์
หุบเขาโลกพระจันทร์ เป็นที่ราบสูงโบราณที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1.8 พันล้านปี อยู่ห่างจากเมือง Alto Paraíso de Goiás ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศบราซิลไปประมาณ 38 กิโลเมตร และเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Chapada dos Veadeiros โดยพื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหินรูปร่างประหลาดแปลกตามากมาย ทำให้ดูเหมือนผิวพื้นดวงจันทร์อย่างใดอย่างงั้น ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากการกัดเซาะของแม่น้ำ San Miguel แทรกอยู่ภายใน ซึ่งองค์การยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 2001 และเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวอยากไปชมอีกที่เลยก็ว่าได้
7. Mono Lake ทะเลสาบแสนเหงา
ทะเลสาบโมโน แห่งรัฐแคลิฟลอเนีย สหรัฐอเมริกาเป็นทะเลสาบที่ไม่มีทางออกสู่มหาสมุทร ทำให้น้ำในทะเลสาบมีความเค็มอยู่มาก ซึ่งปริมาณเกลือในทะเลสาบแห่งนี้เองที่ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของบรรดากุ้ง ในทุกๆ ฤดูจึงมักจะมีฝูงนกนับพันตัวบินถลาลงมาหากุ้งกินเป็นอาหาร และด้วยความสวยงามของธรรมชาติที่ผสานกับระบบนิเวศเล็กๆ นี้เองที่ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้ได้ถูกจัดให้อยู่ในทำเนียบสถานที่สุดแปลกของโลก
8. Eisriesenwelt Ice Caves Austria ทางเข้าสู่นรก ถ้ำน้ำแข็งแห่ง ออสเตรีย
ถ้ำน้ำแข็งไอส์รีเซนเวลต์ (Eisriesenwelt Ice Caves) ในภาษาเยอรมันหมายถึง “โลกแห่งน้ำแข็งยักษ์” เป็นถ้ำน้ำแข็ง หินปูน ธรรมชาติขนาดใหญ่ของประเทศออสเตรีย (เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์) ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับเมืองซาล์สเบิร์ก เป็นถ้ำน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดโลกเท่าที่มนุษย์ค้นพบในปัจจุบัน โดยถ้ำแห่งนี้ค้นพบครั้งแรกในปี 1879 ที่สมัยนั้นคนในท้องถิ่น รู้จักมันในฐานะทางเข้าสู่นรกและไม่กล้าที่จะเข้าไปข้างใน ลักษณะข้างในถ้ำเป็นเหมือนภูเขาที่อยู่ในถ้ำและจะมีน้ำแข็งเกาะ หินงอก เต็มไปหมด
9. Hell's Door ประตูนรกแห่งเติร์กเมนิสถาน
ประตูสู่นรก (The Door to Hell) แหล่งท่องเที่ยวใหม่ของประเทศเติร์กเมนิสถาน (Turkmenistan) เป็นหลุมไฟขนาดมหึมากลางทะเลทรายคาราคุม (Karakum Desert) ที่คุกรุ่นต่อเนื่องมานานกว่า 4 ทศวรรษแล้ว ปัจจุบันประตูสู่นรกแห่งเติร์กเมนิสถานกำลังกลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาเที่ยวชมความสวยงามของหลุมขนาดใหญ่กลางทะเลทรายที่มีไฟลุกไหม้ตลอดเวลา ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น Door to Hell หรือ ประตูสู่นรก
ประตูสู่นรกแห่งเติร์กเมนิส ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1971 หลังจากแท่นขุดเจาะน้ำมันของนักวิทยาศาสตร์โซเวียตที่ถูกปล่อยให้รกร้างมานาน จนกระทั่งกิดพังถล่มลงมาจนกลายเป็นหลุมที่มีไฟลุกไหม้ และไม่มีทีท่าที่จะมอดดับ จนกระทั่งกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและได้รับการกล่าวขานไปทั่วโลกดังเช่นในปัจจุบันนี้ค่ะ
สถานที่ท่องเที่ยวแปลกๆยังมีมากมาย ให้คุณได้ลองไปชมสักครั้ง นอกจากนี้เรายังมีบทความที่น่าสนใจอื่นๆ เกี่ยวกับ ตั๋วเครื่องบิน จองตั๋วเครื่องบิน ไทยไลอ้อนแอร์ หรือเป็นบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับท่องเที่ยวต่างประเทศ เช่น ทัวร์ญี่ปุ่น เที่ยวญี่ปุ่น ทัวร์ญี่ปุ่น ทัวร์ญี่ปุ่นพรีเมี่ยม ทัวร์เกาหลี ทัวร์ฮ่องกง ทัวร์ไต้หวัน ทัวร์จีน ทัวร์เวียดนาม ทัวร์มาเลเซีย ทัวร์กัมพูชา ทัวร์พม่า ทัวร์ยุโรป ทัวร์อเมริกา ทัวร์รัสเซีย ทัวร์ลาว ทัวร์มัลดีฟส์ ทัวร์อินเดีย ทัวร์เนปาล ทัวร์ภูฎาน ทัวร์ศรีลังกา ทัวร์จอร์แดน ทัวร์ดูไบ ทัวร์อินโดนีเซีย ทัวร์ฟิลิปปินส์ ทัวร์สิงคโปร์ ทัวร์บาหลี ทัวร์อียิปต์ ทัวร์บรูไน ทัวร์โครเอเชีย ทัวร์ตุรกี ทัวร์ออสเตรเลีย ทัวร์นิวซีแลนด์ และ ทัวร์แอฟริกาใต้ รถเช่า โรงแรม ตั๋วสวนสนุก ตั๋วรถไฟ ประกันการเดินทาง Pocket Wifi รับจัดกรุ๊ปทัวร์ อย่างไรขอขอบคุณที่ติดตามเรานะคะ จะมาอัพเดทข่าวสารและบทความดีๆจากการท่องเที่ยวทั่วโลก ยังไงฝากติดตามเราเรื่อยๆนะคะ ..
12 ส.ค. 2558
20 ส.ค. 2558
19 เม.ย 2559
16 ส.ค. 2558